ดูหนัง

ดูหนัง

ดูหนัง Obi-Wan Kenobi (Ep. 1-3) – หวนพิจารณาถึงปรมาจารย์เจได เติมเต็มเรื่องราวจากตรีภาคต้น

ดูหนัง กล่าวได้ว่า ‘Obi-Wan Kenobi’ หรือ ‘โอบีวัน เคโนบี’ น่าจะเป็นซีรีส์ที่แฟนคลับStar Wars คอยมากที่สุดแห่งปีแล้วล่ะครับผม เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ตัวละครอย่าง ‘โอบีวัน เคโนบี’ (Obi-Wan Kenobi) นั้นถือเป็นตัวละครสำคัญของจักรวาลหลัก หรือที่เรียกกันว่า ‘Skywalker Saga’ เลยก็ว่าได้ และเรื่องราวของปรมาจารย์เจได ผู้มีส่วนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดรอยแยกของเรื่องราวในเชื้อสายสกายวอล์กเกอร์ ก็ยังมีเรื่องมีราวราวอีกมากมายให้ตรวจได้อีกไม่รู้จักจบสิ้น

ตัวซีรีส์รับเหมาดูแลโดย ‘เดบอราห์ เชา’ (Deborah Chow) ผู้กำกับแล้วก็โปรดิวเซอร์หญิงจากสตาร์ วอร์ส ซีรีส์ ของ Disney+ ทั้งยัง ‘เดอะ แมนดาโลเรียน’ (The Mandalorian) และ ‘ตำราแห่งโบบาเฟตต์’ (The Book of Boba Fett) ซึ่งความต่างของซีรีส์เรื่องนี้เป็น เป็นลิมิเต็ดซีรีส์ที่จะมีเพียงแค่ 1 ซีซันถ้วน โดยมีการปลดปล่อย 2 ช่วงแรกออกมา ก่อนที่จะทยอยปลดปล่อยครั้งละตอนจนกระทั่งครบ 6 ตอนทุกอาทิตย์ ดูหนัง

ตัวเรื่องราวจะเล่าถัดมาจาก Star Wars สามภาคต้น (เอพิโซด 1-2-3) ครับผม หรือเป็นเรื่องราว 10 ปีที่ผ่านมาจาก ‘Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith’ (2005) นั่นเอง หลังจากที่พัลพาทีน (ดาร์ธ ซิเดียส) ได้บัญชา ‘Order 66’ เพื่อล้างบางเจไดอีกทั้งกาแล็กซี ผลก็คือ ทหารโคลนของจักรวรรดิ์ได้ออกตามล่าเจไดทั่วจักรวาล ทำให้นิกายเจไดล่มสลาย ส่วนเจไดที่รอดก็จำเป็นต้องหนีตายหัวซุนไปคนละทิศคนละทาง

ส่วนปรมาจารย์เจไดอย่าง ‘โอบีวัน เคโนบี’ (Ewan McGregor) ภายหลังที่ต่อสู้กับอดีตศิษย์รักอย่าง ‘อนาคิน สกายวอล์คเกอร์’ (Anakin Skywalker) เขาเลือกที่จะหนีมาอาศัยอยู่ในถ้ำกลางทะเลทรายบนดาวทาทูอีนด้วยความรู้สึกหมดกำลังใจรวมทั้งรู้สึกผิดที่กำจัดลูกศิษย์รักของตน จนถึงบางทีเขาเองก็ฝันร้าย และก็เปลี่ยนตัวเองเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆที่มีชื่อว่า ‘เบน’ เพื่อแอบหนีการตามล่าของจักรวรรดิที่กำลังแผ่กระจายอำนาจ ยิ่งไปกว่านี้ เขาเองก็ยังไม่เคยรู้ว่า อนาคินกำลังจะแปลงเป็น ‘ดาร์ธ เวเดอร์’ (Hayden Christensen) หัวหน้าแห่งกองทัพกาแล็กติก ผู้นำความมืดครอบครองกาแล็กซีทั้งปวง

ส่วนเนื้อเรื่องใน 2 อีพีแรก

จะเน้นย้ำไปที่การปูเรื่องครับ ในอีพีแรกจะมีความยาวร่วมชั่วโมง เพราะเหตุว่ามี Recap เรื่องราวในไตรภาคต้น (เฉพาะเส้นเรื่องของโอบีวันกับอนาคิน) บวกเข้าไปด้วย ก่อนที่จะเริ่มเล่าถึงชีวิตในช่วงมืดมนของโอบีวัน ที่ขณะนี้กลายเป็นคนงานแล่เนื้อแลกเปลี่ยนเศษเงินไปวันๆและคอยเฝ้า ‘ลุค สกายวอล์กเกอร์’ (Grant Feely) วัยเด็กที่เขาฝากไว้กับลุงโอเวน (Joel Edgerton) และก็ป้าเบรู (Bonnie Piesse) อยู่ไกลๆเพื่อหวังว่าเขาเองจะเปลี่ยนมาเป็นความหวังใหม่ที่คืนสมดุลแห่งพลังมาสู่จักรวาล

จนตราบเท่าวันหนึ่ง อินควิซิเตอร์ (Inquisitor) ที่พัลพาทีนก่อตั้งเพื่อตามล่าเจไดทั่วจักรวาล ที่ประกอบไปด้วย ‘แกรนด์ อินควิสิเตอร์’ (Rupert Friend) ‘เรวา “ภคณีที่ 3” ‘ (Moses Ingram) และก็ ‘น้องชายที่ห้า’ (Sung Kang) เดินทางมาถึงดาวทาทูอีนเพื่อตามหาเจได ในขณะที่โอบีวันก็ทราบว่า ‘เลอา ออร์กานา’ วัยเด็ก (Vivien Lyra Blair) โดยแก๊งของ ‘เวกต์ โนกรู’ (Flea มือเบส ‘Red Hot Chili Peppers’) ลักพาตัวไป ทำให้คุณลุงเบนจำต้องออกผจญภัยอีกรอบในรอบทศวรรษ แอบหนีการไล่ล่าของอินควิสิเตอร์ แล้วก็ได้ทราบความจริงบางอย่างที่ทำให้เขาเองมีความรู้สึกว่า ‘ภัยมืด’ กำลังจะคืบคลานมาถึงเขาอีกที megame เครดิตฟรี

ลักษณะเด่นของซีรีส์เรื่องนี้ที่นักเขียนสัมผัสได้อย่างหนึ่งก็คือ! การพยายามพาซีรีส์กลับไปเป็น Canon ให้กับเส้นเรื่องเวอร์ชันภาพยนตร์หรือที่เรียกกันว่า ‘Skywalker Saga’ นั่นเองขอรับ เพราะว่าอย่างที่รู้ๆกันดีอยู่แล้วว่า ซีรีส์สองเรื่องแรก แม้ว่าจะอยู่ภายใต้เส้นเหตุเดียวกัน! แต่ตัวเรื่องราวนั้นเป็นการเล่าเรื่องราวของผู้แสดงอื่นๆที่ตีคู่ขนานโดยไม่ได้ปะติดปะต่อกับ Saga หลัก แต่ว่ากับซีรีส์หัวข้อนี้! แจ่มแจ้งว่าคณะทำงานพากเพียรที่จะให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของ Saga ที่เกิดขึ้นมาจากผลกระทบจากสามภาคต้น! และมีผลต่อไปถึงไตรภาคหลัก (4-5-6) และก็สปินออฟทั้งหมดทั้งสิ้นในระหว่างทั้งสองตรีภาคนี้ด้วย!

หลักฐานที่ชัดที่สุดก็น่าจะหนีไม่พ้นการจับเอามรดกจากภาพยนตร์ Skywarker Saga มาใช้ตรงๆเลย ตัวอย่างเช่น การใช้ไตเติลเปิด – ปิด ที่ย้อนกลับไปใช้ต้นแบบคลาสสิกที่แฟน Star Wars โคตรจะรู้จักดี อีกทั้งการปรากฏคำว่า “A long time ago in a galazy far, far away. . . .” (“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ณ กาแล็กซี อันไกลแสนไกล”) และการใช้ตัวหนังสือสีฟ้า วางบนแบ็กกราวด์ภาพอวกาศที่มีดวงดาวระยิบระยับ จะขาดก็แค่โลโก Star Wars สีเหลืองๆกับ Opening Crawl (แถบตัวอักษรบอกชื่อเอพิโซดและก็เรื่องย่อ) เท่านั้นเอง

รวมถึงการใส่ Recap สรุปสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นในเอพิไม่มีคู่ 1-2-3 โดยเฉพาะไทม์ไลน์ของโอบีวัน และอนาคิน และก็ด้วยเงื่อนไขที่ตัวซีรีส์นั้น เป็นลิมิเต็ดซีรีส์ที่เล่าถัดมาจากเอพิไม่มีคู่ 3 โดยที่จะมิได้มีภาคต่อนี่แหละ ก็ยิ่งทำให้ตัวเรื่องสามารถตรวจสอบค้นหาเรื่องราวเคราะห์กรรมของโอบีวัน ตัวละครที่แฟนๆStar Wars ประทับใจ และก็ผู้แสดงอีกเพียบเลยได้อีกเยอะแยะทั่วจักรวาล และก็เหตุการณ์หลังจาก Order 66 ก็เป็นไฮไลต์สำคัญที่แฟนคลับเองก็พึงพอใจใคร่รู้ และคอยวันที่เรื่องราวจะถูกเติมเต็มตลอดมา ดูหนัง

ในทางของตัวเรื่อง แน่ๆว่าเป็นโจทย์ที่หินสำหรับทีมงานอยู่เหมือนกันนะครับ! ใน 2 Ep. แรก จริงๆตัวเรื่องเองจัดว่าค่อนข้างจะเดินช้าเลย แต่ว่าก็ถือว่าเป็นการปูเรื่องให้รู้เรื่องราวของโอบีวัน ผ่านความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสับสน ท้อใจของโอบีวัน รวมทั้งการฉายภาพกิจวัตรที่!ทำเป็นประจำของอดีตปรมาจารย์เจไดที่วนเวียนซ้ำซากเหมือนว่าแล้งไร้ซึ่งความหวัง การขับเคลื่อนเรื่องและจังหวะก็เลยถือว่าไปด้วยกันได้ แตกต่างจากการเดินเรื่องที่เชิญชวนงงเล็กๆใน ‘The Book of Boba Fett’ 4 Ep. แรก!

พร้อมๆกับการเบาๆแทรกสอดเรื่องราวการไล่ล่าเจไดของอินควิซิเตอร์ ที่แท้ๆรวมทั้งคือเจไดที่ไม่ซื่อตรงที่มีความทารุณ รวมทั้งการสอดแทรก Easter Egg !ในแบบที่แฟนสตาร์วอร์สรุ่นเก่าแล้วก็รุ่นใหม่คงจะเข้าถึงได้อย่างไม่ยากเย็นมากนัก รวมทั้งการ Recap เรื่องราวเก่า ก็เลยทำให้ใน 2 อีพีแรกเป็นการฝึกซ้อมแล้วก็ปูเรื่อง รวมทั้งบากบั่นจะทำให้พวกเราได้เห็นภาพการล่มสลายของนิกายเจได! ที่ทำให้เจไดกลายเป็นเพียงแค่อดีต รวมทั้งตำนานที่ทับซ้อนระหว่างข้อเท็จจริงกับเรื่องพูดปด มากกว่าจะมีแอ็กชันลุ้นๆต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านอย่างที่คุ้นเคยกัน!

ส่วนใน Ep. 3 นี่แหละขอรับ

ดูหนัง ที่เริ่มขับเคลื่อนการเสี่ยงภัยที่เบาๆรุนแรงขึ้น จริงๆข้อสังเกตอย่างหนึ่งใน 2 Ep. แรกก็คือ ฉากแอ็กชันที่ยังไม่ค่อยหวือหวาและไม่ค่อยมีพลังนัก! และก็ตรรกะของบางนักแสดงที่เชิญให้ขัดใจอยู่บ้าง จนกระทั่งทำให้โดยรวมยังมีความไม่เข้าที่เข้าทางอยู่ ยังดีที่มี Easter Egg ที่เชิญชวนให้แฟนๆฮือฮาได้ แล้วก็การเสี่ยงภัยระหว่างลุงเบนกับน้องเลอา! ก็จัดว่าสนุกสนานใช้ได้เลย จนกระทั่งพอเข้าอีพีที่ 3 !แม้จะเริ่มเข้าที่เข้าทางและก็เริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอยได้บ้าง และส่วนท้ายก็มีอะไรให้พูดถึงอยู่ แม้กระนั้นก็ยังแอบรู้สึกว่างานแอ็กชันยังไปได้ไม่สุดนิดๆเช่นกันนะครับ ไม่รู้จักว่าจะเก็บเอาไปพีกในครึ่งซีซันหลัง หรือจะเปลี่ยนเป็นงานเล่ายืดๆไปเลยหรือเปล่า!

อีกจุดที่จัดว่าต้องดูก็คือ การพัฒนาผู้แสดง โดยยิ่งไปกว่านั้นตัวละครหลักๆที่มีไดนามิกที่น่าดึงดูดนะครับ ตัวอย่างเช่น ‘ยวน แมกเกรเกอร์’ (Ewan McGregor) ในบท ‘โอบีวัน เคโนบี’ ที่กลายมาเป็น ‘เบน’ เป็นอดีตเจไดแก่ๆที่ร่วงโรยทั้งยังร่างกาย และสิ้นหวังในความรู้สึกจนถึงเก็บเอาไปเป็นฝันร้าย ซึ่งนี้ พี่อีวานสามารถสะท้อนผ่านการแสดง สีหน้าท่าทาง ดวงตา ของคนที่พบเจอความหมดหวังกระทั่งเก็บเอาไปฝันร้ายได้รันทดดีมาก

อีกคนที่น่าเอ่ยถึงก็คือน้อง ‘วิเวียน ไลรา แบลร์’ (Vivien Lyra Blair) ที่สวมบทบาทหนูน้อยเลอา! ประเภทที่เรียกว่านิสัยเลียนแบบมาเป๊ะราวกับย่อขนาด ทั้งความฉลาดเกินเด็ก พูดจาชัดถ้อยชัดคำ นิสัยลุยๆทราบเลยว่าเจ้าฟ้าหญิงเลอานี่ก็คืออดีตกาลเด็กแสบดีๆนี่เอง (555)! แล้วก็กลุ่มอินควิซิเตอร์ที่หยิบเอาคาแรกเตอร์มาจากแอนิเมชัน ‘Star Wars: The Clone Wars‘ ก็มีการใส่มุมมองของการฉกฉวยอำนาจกันเอง ในตอนที่ ดาร์ธ เวเดอร์ กำลังจะขึ้นยิ่งใหญ่ได้น่าติดตามดี แต่ก็แอบมีจุดโชคร้ายอยู่นิดๆแบบเดียวกัน และบางผู้แสดงที่ยังดูทื่อๆไปหน่อย!

โดยสรุป ตัวซีรีส์ใน 3 อีพีแรก แม้จะยังมีจุดขัดใจรวมทั้งเอาไม่อยู่บ้าง! แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการหวนให้ระลึกถึงการเสี่ยงอันตรายแบบฉบับสตาร์ วอร์ส ด้วย Easter Egg จาก Skywalker Saga มาให้แฟนๆได้กรี๊ดกัน ถือได้ว่าซีรีส์ Star Wars ที่ใกล้เส้นเรื่องหลักในจักรวาลเยอะที่สุดแล้วล่ะครับ! เป็นซีรีส์ที่เชิญให้ระลึกถึงบรรยากาศตามแบบฉบับไตรภาคต้นได้แบบไม่ผิดฟั่นเฟือน และก็เติมเรื่องราว รวมถึงผู้แสดงใหม่ๆที่ตกตรวจได้อย่างน่าสนใจ แม้จะดำเนินเรื่องช้าจนเรื่อยๆไปสักนิดสักหน่อยก็ตาม!

อันนี้ผู้เขียนก็หวังเพียงแค่ว่า ใน Ep. ต่อๆไป! ซีรีส์จะพาเราไปตรวจช่วงเวลาอันมืดมิดของเหล่าเจได ที่จะส่งผลให้เกิดเอพิโซด 4 และปะติดปะต่อเรื่องราวตำนานที่ปรมาจารย์เจไดได้อย่างสนุกน่าติดตาม มีจุดพีกให้ร้องว้าวแรงๆได้ พล็อตที่ทรงพลัง! น่าไว้วางใจ กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Canon ได้อย่างแนบสนิท ราวกับอย่างที่ ‘Rogue One: A Star Wars Story’ (2016) ทำเป็น หรืออย่างน้อยก็อย่าให้พลาดแบบเดียวกับที่ ‘Solo: A Star Wars Story’ (2018) เคยเป็นก็พอเพียงครับ ดูหนัง!