top gun maverick บินให้เด็กมันดู ภาคต่อ
top gun maverick บินให้เด็กมันดู ภาคต่อ จุดที่ดรอปของภาคนี้ก็มีนะขอรับ แต่มันไม่ถึงกับกระบวนการทำให้หนังห่วยแตกอะไร ก็เรื่องของความรัก ที่หนังทุกเรื่องโดยมากจะมีอะไรเช่นนี้สอดแทรกอยู่ ด้วยเหมือนกันกับประเด็นนี้ เพียงแม้กระนั้น มันลดน้อยลงไป ตามวัย ตามอายุของพระเอกนั่นแหละครับผม ให้สรุปเลยในการ รีวิว Top Gun : Maverick นั้นคือ 10 เต็มไม่หัก คริสโตเฟอร์ แม็กควอร์รี เก็บรายละเอียดได้ดีมาก ๆ เลยนะ สำหรับสิ่งที่ผมกล่าวไปว่าเป็นการเซอร์วิสแฟน ๆ
โอเคตัวหนังอะไรต่าง ๆ มันมีฉากที่เป็นกิมมิค และรูปจำของภาคแรกอยู่พอเหมาะสม แต่มันไม่น่าใช่การเอามาทั้งดุ้น มันคือการทำงานตามแปลนที่วางไว้ แต่ปรับนู่น แต่งนี่ ใส่ตรงนั้น ลดที่นี่ จนท้ายที่สุดมันลงตัว อย่างฉากเปิดเรื่องสุดคลาสสิค กับฉากเรียกแขกยั่วน้ำลายสาว ๆ ที่เหล่านับบินถอดเสื้อโชว์กล้ามเล่นรักบี้กัน (ภาคแรกเล่นวอลเล่ย์บอล)
ถ้าจะบอกกันดิ่งๆ ก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันแบบ Old-School คือมันไม่น่าจะใช่หนังยุคใหม่ top gun maverick แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วย สเปเชียลเอฟเฟกต์จำนวนไม่ใช่น้อย แต่มันคือหนังแอ็กชันแบบที่เน้นสตันท์ การที่นักทำให้ทราบหรือนักทำให้ทราบแทนเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตนเองจริงๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ทอม ครูซ เชื่อถือโดยตลอด
และทำให้ประจักษ์มาแล้วใน Mission: Impossible หลายต่อหลายภาค ใน ทอมและนักส่อให้เห็นสมทบต่างต้องขับเคลื่อนเครื่องบินรบด้วยตัวของเราเอง (และถ่ายทำด้วยตัวของเราเอง โดยใช้กล้องติดไว้ในห้องนักบิน) ด้วยเหตุดังกล่าว ฉากต่างๆในห้องนักบินจึงออกมาสมจริง สูงถึงสูงที่สุด สิ่งต่างๆที่เห็นในหนังล้วนเป็นแอ็กชันที่คงจะไม่หวือหวาเท่าหนังที่มุ่งเน้น VFX แต่มันชมเรียล และดึงอารมณ์ได้ดีมากๆ
การถ่ายทำในหัวข้อนี้นับว่ายอดมาก ชื่นชมคณะทำงานทุกคนเลย เริ่มตั้งแต่การติดกล้องใน cockpit จับสีหน้า ซึ่งไม่รู้เช่นเดียวกันว่าในภาคแรกทำยังไง แต่ในภาคแรกนั้นเราจะเห็นได้ชัดสีหน้านักทำให้ทราบแบบ ecu เสียส่วนใหญ่ จังหวะตัดต่อเวลาขับเคลื่อนเครื่องบินมันเลยจะดูโดด ๆ ไปบ้าง
เพราะเราไม่เห็นรายละเอียดด้านนอกเลย แต่พอมาเป็นภาคนี้ พวกเราจะแสดงตัวฉากต่อฉากการเชื่อมต่อของแบ็คกราวที่ส่งอารมณ์คนดูได้โดยตลอด ตามมาด้วยการที่จึงควรใช้เครื่องบินจริง ๆ ตามเก็บรูปต่าง ๆ นอกเครื่องกลางอากาศด้วย รวมถึงคณะทำงานภาคพื้นดินที่ต้องหยิบรูปเหล่าเครื่องบินจากบนพื้นให้ทันด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นการถ่ายทำที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
ขช้านานมากับช่วงเวลาที่หนังภาคต่อเรื่องนี้ทิ้งห่างมา ในวันนี้พีท ‘มาเวอร์ริก’ มิตเชล (รับบทโดย ทอม ครูซ Tom Cruise) ยังอาจจะจมปลักกับภาพเมื่อก่อนนี้อันแสนเลวร้ายที่ต้องเห็นได้ชัดเพื่อนเข้าร่วมบินอย่าง กู๊ส ตายไปซึ่งๆหน้าต่อตาเมื่อ 36 ปีก่อน และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อชะตาได้พามาเวอร์ริกมาประสบหน้ากับ แบรดลีย์ ‘รูสเตอร์’ แบรดชอว์ (รับบทโดย ไมล์ส เทลเลอร์) ลูกชายของกู๊สที่เข้ามายังท็อปกันเพื่อคัดเฟ้นเป็นนักบินในภารกิจเสี่ยงตายทำลายฐานผลิตอาวุธนิวเคลียร์มหาประลัย
รีวิว (ท็อปกัน มาเวอริค)
Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) เล่าสถานะการณ์ของ พีท “มาเวอริค” มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) นักบินระดับสูงของกองทัพเรือที่เอาจริงเอาจังกับการท้าทายและเลื่อนตำแหน่งการบินมายาวนานกว่า 30 ปี กระทั่งเขาได้รับบทบาทสำคัญสำหรับการฝึกสอนหน่วย Top Gun ที่เต็มไปด้วยนักบินเลือดใหม่ลำดับชั้นยอด เพื่อจะคัดเฟ้นคนที่พร้อมที่สุดสำหรับในการปฏิบัติหน้าที่พิเศษที่มีจุดมุ่งหมายคือต้องได้ผลสำเร็จแค่นั้น แต่โอกาสรอดชีวิตเป็นศูนย์!
ภารกิจของครูฝึกฝนที่น่าหนักใจนี้ ยิ่งหนักหนาขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อหนึ่งในนักบินคือ “รูสเตอร์” (ไมล์ส เทลเลอร์) ลูกชายของเพื่อที่จะนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว นั่นส่งผลให้เขาต้องมานะคิดแผนและฝึกฝนฝนเพื่อให้หน่วย Top Gun พร้อมทำภารกิจและรอดชีวิตมาให้ได้ เพื่อชดเชยความรู้สึกไม่ถูกที่อยู่ภายในใจตลอดชีวิตการบินของเขา..
มั่นใจว่าหลายๆคนที่อ่านมาถึงที่นี่ คงจะไม่เคยดู ในโรงรูปยนตร์ แต่ก็คงได้มีโอกาสชมผ่านหน้าจอทีวีไม่ก็หน้าจอคอมฯ เช่นเดียวกับนักประพันธ์ แต่ไม่รู้ดีว่าเพราะว่าการดูผ่านจอคอมฯ หรือกรรมวิธีบอกต่อของหนังสมัย 80 กันแน่ ที่ทำให้ส่วนบุคคลมิได้รู้สึกชอบอะไรเป็นพิเศษกับหนังเรื่องนี้ แม้จะแอบทึ่งกับการถ่ายทำในสมัยยุคนั้น ที่แนะนำภาพการบินบนน่านฟ้าที่ให้ได้รับรู้สมจริง และได้เห็นได้ชัดนักทำให้รู้ที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยแปรเปลี่ยนเป็นตำนานไปแล้วทำให้ทราบในหนังประเด็นนี้ก็ตามที
ทางด้านนักบ่งบอกถือว่าดำเนินการงานกันหนักมาก พวกเขาจะต้องเข้าฝึกฝนสภาวะร่างกาย จิตใจและฝึกหัดบินกันจริง ๆ เป็นเวลากว่า 3 เดือน และจึงควรชื่นชม Tom Cruise จริง ๆ ที่อายุปาเข้าไปหมายเลข 6 แล้วยังจะกล้าบ้าบิ่นขับเคลื่อนเครื่องบินเองจริง ๆ อีก แถมยังอาจคาแรคเตอร์ผู้แสดง Pete ‘Maverick’ Mitchell เอาไว้ได้ ที่ถ่ายทอดมันออกมาในต้นแบบที่ดูเติบโตแต่ยังไว้ลายความเป็นตัวละครนี้แบบในภาคเก่าได้อย่างยอดเยี่ยม
ส่วนผู้แสดงอื่น ๆ ก็รับไม่ถูกชอบหน้าที่ตนเองได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าตัวละครจะเด่น ๆ ไม่กี่ตัว แต่ก็มีคาแรคเตอร์ชัดให้น่าความทรงจำได้เช่นเดียวกัน และสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือนักแสดงของ Jennifer Connelly ที่มาในบท Penny Benjamin เข้าใจว่าเพราะเหตุใดคัดสรรค์เปลี่ยนแปลงบทนางเอกนะ
นั่นก็ด้วยเหตุว่าเรื่องของลักษณะจำเป็นที่จะต้องหาตัวนักชี้ให้เห็นที่อายุสอดรับกันและยังเค้าหน้าดูดีเปรียบเทียบเคียง Tom Cruise ได้ด้วย ซึ่งนางเอกเก่าอย่าง Kelly McGillis ในขณะนี้ก็แก่เกินไป เลยคัดสรรค์ที่จะจับนำนักแสดงลูกสาวนายพลที่ หักอกเอาไว้ในภาคแรกมาสานต่อในภาคนี้ เลยเอา Connelly มารับบท และเลือกเฟ้นที่จะสานต่อผู้แสดงนี้ได้อย่างฉลาดมากจริงๆ
ส่วนที่ดีมากๆของ ที่ทำให้องค์ประกอบต่างๆลงตัว และดึงผู้ดูเข้าไปสู่หนังได้ตลอดคือ Pacing หรือโอกาสความรวดเร็วทันใจในการเล่าเรื่องของหนัง หนังมิได้กระตือรือร้นอะไรเยอะแยะนัก ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้อืดอาดจนน่าเบื่อ ทุกฉากใช้จังหวะตัดต่อดึงอารมณ์ได้อย่างพอดี และเมื่อฉากต่างๆในการปูเรื่อง ถูกปูมาอย่างพอเหมาะ จนผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ของตัวละคร เริ่มต้นอินกับปมเวลาผู้แสดง
พอเมื่อไปถึงฉากไคลแม็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างยิ่ง 30 นาทีท้ายสุด เมื่อทุกๆอย่างมันขมวดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความรู้สึกที่ลุ้น บีบจิตใจ มากมายยิ่งกว่าหนังแอ็กชันทั่วๆไป ฉากบู๊ที่ตื่นเต้นมากๆอยู่แล้ว ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ด้วยปมแวดล้อมที่ถูกค่อยๆผูกมากอย่างยอดเยี่ยม อาจพูดได้เลยว่า เป็นหนังแอ็กชันที่ถี่ถ้วนสำหรับเพื่อการเล่า และค่อยๆรีดอารมณ์จากผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยมมาก จนบางครั้งบางคราวเราอดน้ำตาซึม หรือปรบมิือให้กับผู้แสดงอย่างไม่รู้ตัว !
ภาคนี้ เคงริงๆ คือการตามรอยสูตรได้ผลของหนังภาคแรกไม่ผิดเพี้ยน มันคือเสน่ห์ในหนังในยุค 80-90 ที่มีตัวเอกเท่ๆ บรรจุเพลงเจือ เน้นการสร้างและจัดทำขึ้นผู้แสดงให้คนดูผูกพัน มีซีนแอ็กชั่นเท่ๆ ผสมผสานอย่างกลมกล่อม ไม่แน่ใจว่าสูตรนี้จะโดนใจคนรุ่นแบบที่ไม่เหมือนเดิม หรือไม่ เนื่องจากคนดูยุคนี้คุ้นชินกับหนังแบบ
นันสต๊อปแอ็กชั่น อัด CG เป็นจำนวนมาก อย่างเช่นหนังตระกูล Fast หรือหนังแบบมาร์เวล …แม้ว่าจะตามรอยสูตรสำเร็จแบบหนังยุคก่อน แต่ Top Gun ภาคนี้ ก็คัดเลือกจับจับเสน่ห์ของความเป็นหนังแอ็กชั่นแบบเดิม คลุกเคล้ากับแอ็กชั่นยุคใหม่ เพียงแค่ใช้แนวทางการถ่ายจริง เล่นจริง ไม่เน้น CG …แม้ว่าจะไม่เคยชมภาคแรกก็รู้เรื่อง แต่ถ้าได้ชม ก็จะยิ่งเติมเต็มความคิดถึง ความถวิลหาอดีตสมัยได้ง่ายๆเลย
Top Gun Maverick (ท็อปกัน: มาเวอริค) ภาคต่อที่ครั้งนี้ได้จังหวะดูบนหน้าจอภาพยนตร์ IMAX กลับเป็นความสนุกสนานและบันเทิงไปกับแอ็กชันบินไล่ล่าที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกของสถานการณ์ที่บีบคั้นกดดัน ผ่านการโชว์ให้เห็นที่เร็วทันใจ ร้อนแรง ด้วยกลเม็ดเคล็ดลับถ่ายทำในยุคเดี๋ยวนี้ ให้ความรู้สึกราวกับเราเข้าไปนั่งอยู่ภายใน Cockpit หรือห้องคนขับเครื่องบินก็ไม่ปาน ยิ่งได้ระบบเสียงรอบทิศทาง
จนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของเบาะนั่งตอนที่ชม ยิ่งเพิ่มเติมอีกความอินไปกับฉากตรงหน้าขึ้นมาก ลงท้ายแปรเปลี่ยนเป็นการทำงานที่ผ่านมาที่น่าจดจำอีกสักทีในการดูหนังบนจอภาพยนตร์ ที่การดูบนหน้าจอทีวีหรือจอคอมฯ ไม่มีทางมอบวิชาการสึกนี้ให้ได้แน่ๆ ตอกย้ำว่าหนังบางเรื่องมันถูกผลิตขึ้นมาให้เหมาะกับชมบนหน้าจอภาพยนตร์เพื่อประสบการณ์ที่เหมาะสมที่สุด
แม้ว่า ภาคแรกจะเป็นไอคอนสำคัญแห่งสมัย 80s แต่ ก็สามารถถีบตัวของเราเองให้เป็นภาคต่อที่เหมาะสมที่สุดได้ไม่แพ้กัน จนหลากหลายเสียงเปรียบเคียงกับ The Godfather II ในทางของการที่เป็นภาคต่อที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ต้นฉบับ ในมุมมองหนึ่ง
ตัวภาคต่อนี้ก็ได้ Tribute หนังภาคแรกในหลายประเด็น ฉากแอ็กชันบางฉากที่ทำออกมาเพื่อที่จะหวนให้ระลึกถึงความเก๋าของความเก่า สดุดีตัวละครกูสที่จากไปในท้ายภาคแรก หรือแม้แต่การนำ “วัล คิลเมอร์” กลับมาในแบบที่เคารพความเป็นเขาในปัจจุบัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนทำไปเพื่อสดุดีความเป็นIcon ของภาคแรกทั้งหมด และในขณะเดียวกัน ก็สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างและจัดทำขึ้นตัวละครกลุ่มใหม่ที่น่าความทรงจำ
ด้วยการเป็นหนังแอ็กชันอันดับหลักเกณฑ์ประสิทธิภาพสูงในสมัย2020s คนใดจะไปรู้สึกว่าภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกยาวนานถึง 36 ปี จะกลายมาเป็นหนังซัมเมอร์ชั้นเชิงประสิทธิภาพในสมัยนี้ได้ (และจัดเข้ากลุ่มเดียวกับ Mad Max : Fury Road, Blade Runner 2049 รวมถึง Tron : Legacy ซึ่งกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ ด้วยเช่นกัน เข้ากรุ๊ปหนังภาคต่อจากยุค 80s ที่คุณภาพคับจอ)
ถ้าชำแหละบทหนังของ Maverick’ ในฉบับใหม่ของผู้กำกับ โจเซฟ โคซินสกี (Joseph Kosinski) ออกมาจริง ๆ มันก็คือพิมพ์เขียวของหนัง ‘Top Gun’ เมื่อ 36 ปีก่อนแทบจะไร้ไม่ถูกเพี้ยน หลายชนิดที่หนังฉบับ โทนี สก็อตต์ (Tony Scott) ได้ทิ้งมรดกอันควรค่าไว้ตั้งแต่ไตเติลเปิดเรื่องที่เอ๋ยถึงโรงเล่าเรียนท็อป กัน ที่จบด้วยโลโก้ของหนัง ฉากแอ็กชันผาดโผน
ความเป็นฮีโรโรแมนติกของมาเวอร์ริกผ่านซีนขี่บิ๊กไบค์ไล่ไปกับฉากหลังที่เอฟ 18 กำลังพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ไปจนกระทั่งเหตุการณ์โรแเมนซ์ของมาเวอร์ริกที่ยังอุตส่าห์ไปขุดสมัยก่อนคนรักของเขาที่ถูกกล่าวถึงในบาร์ของหนังภาคแรกมาสานต่อเป็นตัวละครของ เจนนิเฟอร์ คอร์เนลลี (Jennifer Cornelly)
การกลับมาอย่างมากใหญ่ในรอบ 36 ปี
ห่างจาก ภาคแรก (1986) ถึง 36 ปี ผู้หมู่ Pete “Maverick” Mitchell (Tom Cruise จาก Mission Impossible) กลับมาอีกสักครั้ง เป็นกัปตัน Maverick (ใช่จ้ะ… เป็นถึงนักบินในตำนาน แต่ยังเป็นได้เพียงแค่กัปตัน ในเวลาที่เพื่อที่จะนร่วมรุ่นอย่าง Iceman (Val Kilmer) และคนอื่นๆ ๆ เป็นชั้นเชิงนายพลกันหมดแล้ว)
กัปตัน Maverick ถูกเรียกตัวกลับมา ในสถานภาพครูฝึก เพื่อจะสอนนักเรียนการบินหัวกะทิรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับภารกิจ Mission Impossible ใน 3 สัปดาห์ หนึ่งในเด็กนักเรียนของเขาคือ Bradley “Rooster” Bradshaw (Miles Teller จาก Whiplash) ลูกชายของ Goose (Anthony Edwards)
คู่หูคู่ซี้ของเขาที่เสียชีวิตระหว่างฝึกหัดบินกับเขาในหนังภาคแรก ซึ่งปมของคู่นี้เป็นปมสำคัญของเรื่อง และรวมทั้งยังมี Hangman (Glen Powell) ที่เป็น The Best of The Best และมีนิสัยจองหอง ราวกับเป็นตัวแทนของ Maverick เองกับ Iceman ในยุคยังเป็นเด็กนักเรียน และนี่คือจุดเริ่มแรกของเหตุการณ์ของคนสองเจนเนอเรชั่นที่แตกต่าง
Maverick คือเนื้อเรื่อง 36 ปีที่ผ่านมาเรื่องราวใน ภาคแรก กัปตัน พีท “มาเวอร์ริค” มิทเชลล์ ตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นนักบินตัวเทพมีเหรียญปลำดับชั้นเสื้อเป็นจำนวนมากแต่บทบาทการงานก็ยังไม่ไปไหน เวลาที่เพื่อนๆ ขึ้นไปเป็นผบ. กันหมดแล้ว ด้วยวีรกรรมห่ามกระชากวัยกับสมัยยุคที่แปรไป แม้แต่นักบินที่ฝีมือฉกาจที่สุดในโลกก็ยังจำเป็นต้องเผชิญระยะเวลาไม่เข้าท่า เมื่อตัวเขาใกล้จะหมดความจำเป็นมาก และงานท้ายสุดคือควรต้องไปฝึกฝนเหล่านักบินหนุ่มสาวมือดีเพื่อจะไปทำภารกิจเสี่ยงตายโดยหนึ่งในนั้นคือลูกชายของคู่หูเขาที่เสียชีวิตในภาคแรก ชะตาชีวิตเสมือนเล่นตลกอีกสักครั้ง
กล่าวได้คำเดียวเพื่อเรื่องนี้ บันเทิงใจชิบมากกก ก.ไก่ ล้านตัว สนุกสนานจนอยากชมซ้ำ เป็นภาคต่อที่ได้เปรียบกว่าภาคแรกอีก งานมันออกมาดีมากๆ แต่อ่านจากเบื้องหน้าเบื้องหลังแล้ว ก็ไม่สนเท่ห์ใจเลยจริงๆ ป๋าทอมแกทุ่มเทกับประเด็นนี้มาก เป็นหนังที่ดูได้ทุกท่านจริงๆ มุ่งเน้นความบันเทิง บันเทิงใจเต็มอิ่ม แต่ก็ไม่ไม่ได้ทอดทิ้งดราม่า และการที่ภาคนี้เล่นกับสถานะการณ์การเสียชีวิตของ Goose ในภาคแรกมันก็ดีมากๆ ยิ่งช่วยส่งให้ภาคแรกน่าความจำขึ้นกว่าเดิมอีก และความเจ๋งคือ ภาคนี้ห่างจากภาคแรกแทบจะ 40 ปี